ค้นหางานที่ต้องการ
Web Site หางาน
นัดพบแรงงาน เว็บไซต์ของกรมการจัดหางาน กระมทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม มีบริการแนะแนวอาชีพ ข่าวและเหตุการณ์สำคัญ ตำแหน่งงานที่ว่าง และตลาดนัดพบแรงงาน
www.ejobeasy.com
สมัครงาน เว็บไซต์ที่ให้บริการด้านค้นหางาน ตำแหน่งงานที่ว่างทั้งงานราชการ งานเอกชน รวมทั้งสาระน่ารู้เกี่ยวกับการสมัครงาน
www.jobbees.com
จ๊อบบีส์ เว็บไซต์ที่ให้บริการค้นหาตำแหน่งงานที่ว่าง และบริษัทที่ต้องการวิธีกรอกใบสมัครและประวัติ และเทคนิคที่น่าสนใจในการสมัครงาน
www.jobaa.com/th
ค้นหางาน เว็บไซต์สำหรับผู้ที่ต้องการหางานทำบริการค้นหางาน คู่มือแนะนำสำหรับผู้สมัครงานพร้อมแนะนำงานใหม่ๆ
www.job-kool.com
หางานบนอินเตอร์เน็ต เว็บไซต์สำหรับผู้ที่กำลังมองหางาน ให่บริการค้นหา ตำแหน่งงานที่ต้องการ ตำแหน่งงานที่ว่าง เคล็ดลับและสาระที่น่าสนใจสำหรับผู้สมัครงาน
www.jobpilo.co.th
บริษัทจัดหางาน เว็บไซต์เพื่อคนออนไลน์และคนทำงาน มีรายละเอียดของงานและแหล่งงานเทคนิคการเขียนใบสมัครงาน สาระน่ารู้เพื่อคนทำงานทั้งหลาย
www.jobsdb.com
งานด่วน งานดี ค้นหางานได้ที่จ็อบดีบีดอตคอม ประเภทของงาน ตำแหน่งงานที่ว่าง แบบฟอร์มใบสมัครงาน
www.jobpub.com
เพื่อคนหางาน เว็บไซต์ค้นหางานตามตำแหน่งที่ต้องการหรือประเภทของงานหรือบริษัทและมีข้อมูลสำหรับนายจ้างที่ต้องการพนักงานทั้งในและต่างประเทศทั่วโลก
www.jobthai.com
จ็อบไทย เว็บสำหรับนายจ้างที่ต้องการหาคนทำงาน และผู้ที่ต้องการหางานทำ โดยค้นหางานตามภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ และประเภทของงานที่ต้องการ
www.jobtopgun.com
เว็บไซต์หางาน ค้นหางานเด่น งานด่วน ตามประเภทของงานที่ต้องการ แนะนำตำแหน่งงานใหม่ เคล็ดลับการเขียนใบสมัครงาน
www.thaiejob.com
ไทยอีจ็อบดอตคอม เว็บไซต์ศูนย์กลางข้อมูลหางาน บริการค้นหางาน สมัครงานบนอินเตอร์เน็ต เทคนิคการเตรียมตัวและการสัมภาษณ์ให้ได้งาน
คำถามยอดฮิตในการสัมภาษณ์งาน
- ทำไมคุณถึงอยากมาทำงานที่นี่
แน่นอนผู้สัมภาษณ์จะต้องถามความเป็นมา ว่าทำไมคุณถึงต้องการที่จะทำงานในบริษัทของเขา และคุณก็ควรจะรู้ถึงเหตุผลของคุณอย่างแท้จริง ไม่ใช่ตอบไปสุ่มสี่สุ่มห้า คุณอาจจะตอบว่า
"ดิฉัน/ผมมีความสนใจในระบบการทำงานของที่นี่มาก และก็ทราบมาว่าทางบริษัทได้เปิดโอกาสให้พนักงานทุกคนได้แสดงความสามรถได้อย่างเต็มที่ค่ะและดิฉันยังทราบมาอีกว่า ที่บริษัทรับฟังข้อเสนอของพนักงานทุกคน และพร้อมจะแก้ไขถ้าข้อเสนอนั้น จะสามารถพัฒนาบริษัทให้มีความมั่นคง และน่าเชื่อถือยิ่งขึ้นค่ะ ที่สำคัญดิฉัน/ผมมั่นใจครับว่าผมสามารถที่จะปฏิบัติงานตามจุดมุ่งหมายของบริษัทให้ประสบความสำเร็จร่วมกันได้เป็นอย่างดี"
ผลว่าตอบอย่างนี้ใช้ได้เลยทีเดียวล่ะครับ......หุหุ
2. ทำไมคุณถึงออกจางานที่เคยทำอยู่
คำถามนี้จะง่ายมาก สำหรับน้องๆ ที่ยังไม่เคยทำงานมาก่อน แต่จะเป็นคำถามที่บากมาสำหรับคนที่เคยมีประสบการณ์ในการทำงานมาแล้ว และเป็นคำถามที่ตรงประเด็นมากเลยทีเดียว เพราะหากคุณพอใจต่องานที่ทำอยู่ คุณคงไม่ต้องหางานใหม่ทำหรอกจริงมั๊ยครับ คำถามนี้จึงเป็นคำถามที่คุณต้องเตรียมตัวอย่างมากเลยทีเดียว ตัวอย่างเช่น
"ผมอยากจะเรียนรู้ถึงงานสายใหม่ที่น่าจะเหมาะกับตัวผมมากกว่าที่ผมเคยทำอยู่ครับ และผมคิดว่างานที่นี้เหมาะสมกับผม และผมก็พร้อมที่จะทำงานตรงนี้มากที่สุด"
และที่สำคัญ อย่าได้นำข้อเสียที่คุณได้รู้จักจากบริษัทเก่า มาเล่ามาพูดเด็ดขาดเพราะสิ่งนั้นอาจทำให้คะแนนแห่งความเชื่อถือของคุณลดลงก็ได้ เพราะคงไม่มีที่ไหนอยากได้คนที่ออกงานมาแล้วเผาบริษัทเก่าซะวอดวาย มันจะส่งผลเกี่ยวกับภาพลักษณ์ของบริษัทเขานะครับจำไว้
3. ลองเล่าประวัติของคุณแบบย่อๆ
ข้อมูลส่วนตัว ประวัติ ความเป็นมาเล็กๆ น้อยๆ ที่สามารถบ่งบอกถึงนิสัยใจคอของคุณได้ สามารถบอกถึงความเหมาะสมกับงานด้านนี้ของคุณ ในการตอบคำถามจึงควรอยู่ในแง่ของการทำงาน บุคลิกภาพส่วนตัวและแง่คิดของชีวิตบ้างนิดหน่อย คุณไม่ควรจะเล่าประวัติชีวิตของคุณให้มากเกินไป เพราะอาจจะทำให้เกิดผลเสียแก่ตัวคุณเอง เช่น
"ผมเป็นคนเคารพเวลา ไม่ชอบให้ใครรอ เพราะฉะนัน้เวลาในการทำงานของผม จะตรงต่อเวลาเสมอ แต่ผมก็มีข้อเสียนะครับคือ เวลาที่ผมรอใคร แล้วคนๆนั้นไม่มาสักที ผมก็มักจะควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ค่อยได้ทั้งๆ ที่เหตุผลของเขา เป็นเหตุผลที่น่าฟังมากก็ตาม และตอนนี้ผมกำลังหาวิธีเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องของผมอยู่ครับ"
เห็นมั้ยครับ ดูดีออกจาตายไป หุหุ
4. คุณคิดจะทำอะไรให้กับบริษัทมากที่สุด
คำถามนี้จะทำให้คุณบอกถึงความสามารถของคุณที่จะทำให้กับบริษัท การบอกถึงคุณสมบัติที่คุณสามารถทำได้นั้น ไม่ถือว่าเป็นการโอ้อวดว่าคุณเก่งนะครับแต่สิ่งที่คุณพูดนั้นจะสามารถสร้างน้ำหนักในการตอบคำถามให้แก่คุณได้
5. จะมีปัญหาอะไรไหมหากต้องทำงานล่วงเวลา
เจอคำถามนี้เข้า ก็ทำให้อึ้งเอาการอยูที่เดียว ก็แหมใครอยากจะไปทำงานล่วงเวลาหากไม่ได้อะไรตอบแทนจริงมั๊ยครับ ฉะนั้นในการตอบคำถามนี้ คุณควรจะกล่าวถึงความพร้อมเสมอในการทำงานล่วงเวลา ถึงแม้ว่าค่าตอบแทนอาจจะน้อยมาก หรือในการทำงานล่วงเวลาจะไปตรงกับตารางนัดสำคัญกับคนพิเศษของคุณก็ตามประสบความสำเร็จ ผมก็พร้อมจะทำงานล่วงเวลาเสมอครับ"
6. เรื่องทั่วๆไป
ในการสัมภาษณ์คุณอาจจะต้องพูดถึงเรื่องปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นข่าวทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและค่านิยมที่เกิดขึ้นในเวลานั้น เป็นข่าวหนังสือพิมพ์ คำถามนี้จะแสดงให้เห็นว่า คุณให้ความสนใจกับข่าวสาร บ้านเมือง ไม่เป็นคนที่ตกข่าวสามารถพูดคุยได้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ปัจจุบันของคุณเพิ่มขึ้นมาก็ได้
7. ความใฝ่ฝันและโครงการในอนาคต
เป็นการพิจารณาถึงความเอาจริงเอาจังของคุณ เพราะหากคุณสามารถบอกถึงทิศทางในอนาคตได้ นั่นก็แสดงว่าคุณสามารถรับผิดชอบในงานที่ได้รับมอบหมายได้เป็นอย่างดี ก็ขนาดอนาคตที่ไม่มีใครสามรถรู้ได้ คุณยังวางแผนสู่อนาคตได้อย่างเป็นระบบ นั่นก็หมายถึงว่า คุณไม่ได้มีความคิดย่ำอยู่กับที่ถูกมั๊ยครับ
8. คุณมีงานอดิเรกอะไรไหม
ข้อนี้จะเจาะประเด็นว่า คุณรู้จักแบ่งเวลาของคุณให้เกิดประโชยน์มากน้อยแค่ไหน และแสดงให้เห็นถึงบุคลิกของคุณว่า คุณเป็นคนอย่างไร ร่า เริง เปิดเผย หรือ เก็บตัว เช่น ถ้าคุณตอบว่าคุณชอบอ่านหนังสือ คุณอาจจะถูกถามต่อว่าหนังสือเล่มล่าสุดที่คุณอ่านคือเรื่องอะไร และอาจให้คุณวิจารณ์ถึงหนังสือเล่มนั้น ในการถามคำถามนี้ ยังสามารถได้รู้ถึงความละเอียดอ่อนของคุณ การรู้จักสังเกตการมีปฏิภาณไหวพริบ กระทั่งการใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นๆ อีกด้วยครับ
9. คุณต้องการเงินเดือนเท่าไหร่
ยากนะครับ กับการตอบคำถามนี้ ถ้างานที่คุณไปสมัครระบุเงินเดือนไว้แล้วก็เกิดความสบายใจหน่อย เพราะ อย่างน้อยก็ทำให้คุณประเมินได้ว่าเงินเดือนที่ระบุไปในในสมัครเขาก็รับได้อยู่ระดับหนึ่งแต่ถ้าไม่ได้ระบุก็แย่หน่อย ทางที่ดีคุณควนตอบตามอัตราเงินเดือนที่คนทั่วไปได้รับกันครับ เช่น อาจจะถามเพื่อนที่ทำงานเหมือนกับตำแหน่งที่คุณสมัคร หรือตอบตามเงินเดือนราชการ ที่คุณทราบก็ได้ แต่ถ้าหากผู้สัมภาษณ์เสนอเงินเดือนมาสูง หรือต่ำกว่าอัตราที่คุณรู้คุณก็อย่าเพิ่งตอบตกลง คุณอาจจะขอเวลาในการพิจารณาสัก 3 วัน แล้วค่อยให้คำตอบ เพราะถ้าเกิดคุณตอบตกลงไปแล้ว และคุณมาขอขึ้นทีกลังก็เหมือนกับว่า คุณเป็นคนโลเลไม่น่าเชื่อถือก็ได้
10. คุณมีข้อสงสัยอะไรอีกมั้ย
นี่เป็นคำถามที่บ่งบอกว่าการสัมภาษณ์ได้สิ้นสุดลง แต่ในการตอบคำถามข้อสุดท้ายนี้ จะตอบยังไงล่ะ ถึงจะแสดงให้ผู้สัมภาษณ์เห็นว่าเราไม่ได้โง่นะ ผมว่าคุณอาจจะถามย้ำ เรื่องเวลาการทำงานก๋ได้นะครับ เช่น
"ผมอยากทราบเวลาที่แน่นอนในการทำงานของผมครับ"
หรือคุณอาจจะไม่ต้องการถามอะไรก็ได้ เพราะการถามไม่ได้ถามก็เท่ากับว่า คุณได้ทราบข้อมูลของบริษัทมากพอแล้ว แต่ถ้าเกิดสงสัยจริงๆ ก็ควรตั้งคำถามที่ฟังแล้วดูดี และถูกใจนายจ้างของคุณให้มากที่สุด
คำถามที่พูดมาข้างต้นนี้ดูแล้วก็ไม่ยากเลยนะครับ สำหรับการเตรียมตัวสัมภาษณ์งานของคุณ แค่คุณมีความพร้อมกับคำถามเด็ดๆนี้ คุณก็สามารถชนะใจกรรมการได้แล้ว อย่างน้อยมันคงมีสักคำถามล่ะ ที่ตรงกับการเตรียมตัวของคุณและสร้างความมั่นใจในการตอบคำถามของคุณได้ แล้วอย่าลืมนำไปปฏิบัติดูนะครับ เพราะสิ่งนี้เป็นเส้นทางที่จะทำให้คุณสามารถได้รับคัดเลือกเป็นพนักงานในบริษัทที่คุณใฝ่ฝัน ได้อย่างภาคภูมิใจในที่สุดครับ
การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
- ถ้าประสบการณ์ของคุณน้อย คุณก็ควรจะบอกว่า คุณมีประสบการณ์ที่จำเป็นต่องานนี้โดยไม่ต้องผ่านงานประจำมาก่อน เช่น คุณเคยผ่านงานพิเศษสมัยเรียน เคยร่วมในกิจกรรมของมหาวิทยาลัยหรือองค์กรและถึงแม้ว่าประสบการณ์นั้นจะไม่สัมพันธ์กับงานที่ต้องการนี้เลยก็ตามแต่ ก็มั่นใจว่ามาสารถนำมาประยุกต์ใช้กับงานนี้ได้อย่างแน่นอน
- แล้วในกรณีที่คุณเอาแต่เรียนอย่างเดียวไม่เคยทำกิจกรรมใดๆเลย ทางเดียวที่จะแก้จุดนี้ได้ก็คือ แสดงให้เห็นว่าการเรียนก็เป็นประสบการณ์การทำงานอย่างหนึ่ง เช่น คุณมีประสบการณ์ที่ต้องทำงานส่งให้ทันกำหนดเส้นตาย หรือคุณผ่านการทำรายงานชิ้นสำคัญๆ มาแล้วหลายชิ้น การทำงานกลุ่มร่วมกับคนอื่นๆ ก็คงจะเป็นทางออกที่ดีครับ
- ผลการเรียนต่ำ GPA ไม่ใช่เรื่องสำคัญ คุณควรอย่างยิ่งที่จะให้เหตุผลว่า ถึงเกรดของคุณไม่สูงแต่คุณก็มีประสบการณ์จากชีวิตจริง หรือเน้นย้ำว่าความสำเร็จของการศึกษาและในการทำงานต้องการสิ่งอื่นมากกว่าแค่เกรดสูงอย่างเดียว คุณมีประสบการณ์ในการทำกิจกรรมอื่นๆมาชดเชย อธิบายให้เขาเห็นถึงจุดเกด่นของคุณนะครับ
- ถ้าคุณถูกถามว่า ทำไมถึงไม่ค่อยร่วมกิจกรรมของมาหวิทยาลัยมากนัก คุณก็ควรบอกว่าต้องเรียนหนังสือหนักมาก และยังทำงานพิเศษไปด้วยจากนั้นก็รีบอ้างถึงประสบการณ์การทำงานต่างๆ ของคุณระหว่างเรียน
- อายุน้อยเกินไป หากคุณสมัครงานตำแหน่งสำคัญแต่ถูกติงว่าอายุยังน้อยเกินไป คุณควรอธิบายถึงประโยชน์ของการมีอายุน้อยว่า
- ยินดีทำงานเต็มที่แม้จะได้เงินเดือนน้อยกว่าผู้ที่มีประสบการณ์
- มีไอเดียทันสมัยสมกับที่ได้ศึกษาหาความรู้ใหม่ล่าสุดจากมหาวิทยาลัย
- หรือไม่ต้องแก้ไขนิสัยการทำงานแบบเก่าๆ ที่ไม่เหมาะสมกับงานใหม่ในปัจจุบัน
ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้แหละครับ คุณต้องคำนึงและใช้สติอย่างมาก เพราะเป็นไปได้ว่าทุกคำพูดของคุณ จะถูกบันทึกลงในสมองของผู้สัมภาษณ์และเขาจะมีวิธีการในการสืบค้นข้อมูลจากคุณ ไม่ต่างจากพนักงานสอบสวน จนบางครั้งคุณเองก็ลืมไปเลยว่า ได้ตอบคำถามเหล่านี้ไปแล้วรอบหนึ่ง และที่น่ากลัวก็คือ รอบสองที่คุณตอบดันไม่เหมือนกับรอบแรก อันนี้ต้องระวังและทำการบ้านหนักหน่อยนะครับ
เตรียมตัวสัมภาษณ์งาน
จะไปสัมภาษณ์งานทั้งที เป็นใครไม่ว่าผ่านห้องสัมภาษณ์มาจนเจนสนามแล้วก็ยังอดตื่นเต้นไม่ได้สักทีครับ ยิ่งถ้าเป็นงานที่เฝ้ารอคอยอย่างใจจดใจจ่อด้วยแล้ว ยิ่งเกิดอาการประหม่าเป็นธรรมดา แต่ผมมีแนวทางในการเตรียมความพร้อมก่อนไปสัมภาษณ์มาให้คุณได้ลองเช็คกันดูครับ
1. ลองหากระดาษเปล่า แล้วเขียนคุณสมบัติ ตำแหน่งที่คุณสมัครที่นายจ้างต้องการ แล้วเช็คดูว่าคุณสมบัติของคุณตรงตามนั้นรึเปล่า ถ้าตรงมีกี่ข้อ
2. หาข้อมลเกี่ยวกับบริษัทที่คุณจะไปสัมภาษณ์ ให่ได้มากที่สุด และลองประเมินคร่าวๆ ว่าคุณมีคู่แข่งในสังเวียนเดียวกันนี้ มากหรือน้อยแค่ไหน
3. เตรียมตอบคำถามในห้องสัมภาษณ์ ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว คำถามที่คุณต้องเจอก็คือ "ช่วยแนะนำตัวเองหน่อย" หรือ "Tell me aboyt your self" ดังนั้นสิ่งที่คุณต้องเตรียมก่อนอื่นเลยคือ เขียนสคริปต์แนะนำตัวเอง ความยาวประมาณ 1 นาที และลองแนะนำตัวเองกันเพื่อน หรือจะพูดคนเดียวหน้ากระจกก็ได้ (เอาน่า เพื่ออนาคตอย่าคิดว่าตัวเองบ้าเลย)
4. คำถามยอดฮิตที่คุณอาจจะได้เจอคือ ให้ "ลองเล่าประสบการณ์ หรือ เหตุการณ์ที่คุณเคยประสบความสำเร็จให้ฟังหน่อยสิ" หรือ "Tell me about a time when......" ตรงนี้คุณควรเตรียมเรื่องที่จะเล่า คงไม่ดีแน่ถ้าคุณไปนึกเอาเดี๋ยวนั้นในห้องสัมภาษณ์ ทางที่ดีให้เตรียมเรื่องราวที่คุณ (คิดว่า) เคยประสบความสำเร็จมา อย่างน้อยสัก 5 เรื่อง (เผื่อไว้ไม่เสียหายอะไรหรอกครับ)
5. เตรียมคำถามที่จะไปถามผู้สัมภาษณ์ นอกจากที่คุณจะต้องตอบคำถามหลายต่อหลายข้อแล้วในช่วงท้ายของการสัมภาษณ์ ผู้สัมภาษณ์จะเปิดโอกาศให้คุณได้ตั้งคำถามบ้าง ซึ่งถ้าถามสุ่มสี่สุ่มห้าประเภทว่าอยากรู้อะไรก็ถาม ก็คงไม่ใช้เรื่องดีนัก(เผลอๆอาจทำให้คะแนนของคุณหล่นฮวบ แม้ว่าจะตอบคำถามดีมาตลอด) การตั้งคำถามจึงสำคัญไม่แพ้กับการตอบคำถามเลยทีเดียว ซึ่งคำถามที่คุณควรจะถาม ก็น่าจะ เป็นลักษณะของงานหน้าที่ความรับผิดชอบต่างๆ อะไรอย่างนี้ครับ ไม่ใช้ว่าไปถามคนสัมภาษณ์งานว่าทำงานมากี่ปี มีลูกเมียแล้วหรือยัง จบครับ ถามอย่างงี้จบกันแน่ๆครับ
6. คิดเอาไว้ว่า อัตราเงินเดือนของตำแหน่งที่คุณสมัครอยู่ในระดับใด และที่คุณคาดหวังว่าจะได้ประมาณเท่าไหร่ อาจจะคิดเป็นอัตราเงินเดือนขั้นต่ำที่คุณคาดว่าจะได้ นี่คือคำถามที่คุณต้องตอบทั้งในใบสมัครงานและการสัมภาษณ์แน่นอน (เอาแต่พอดีพองานนะครับ ท่องไว้ พอดี พอดี)
7. เตรียมรายชื่อบุคคลที่คุณสามารถใช้เป็นผู้ค้ำประกัน หรือบุคคลที่ให้ข้อมูลอ้างอิงเกี่ยวกับตัวคุณได้ (ที่ไม่ใช้ญาติ) ซึ่งอันนี้คุณควรขออนุญาติเขาก่อนนะครับ และจะดีมากถ้าคุณแจ้งเขาไว้ล่วงหน้าว่าจะมาสัมภาษณ์งานวันไหน
พูดยังไงตอบอย่างไรให้ดูดี
แน่นอนที่สุดครับ การสัมภาษณ์งานคงต้องใช้น้ำเสียงของคุณ บวกกับศิลปะการพูดที่เป็นทักษะเฉพาะตัวของแต่ละคน ในจุดนี้ใครที่พูดเก่งก็อาจจะคิดว่าสบายๆ แต่คุณลืมคิดไปว่าพูดเก่งกับพูดเป็นนั้น มันต่างกันอยู่มากนะครับ
แล้วยังไงล่ะที่เป็นตัวบ่งชี้ว่าพูดเป็นหรือพูดเก่ง เอาง่ายๆพูดเก่งก็อาจจะเป็นพวกที่พูดไปเรื่อย พูดตลอดเวลา พูดไม่หยุดไม่หย่อน ไม่เคนสนใจเลยว่าสิ่งที่พูดออกไปนั้น คนที่เขาฟังอยู่อยากจะฟังหรือเปล่า เห็นเขายิ้มๆ เวลาที่พูดนั่นน่ะ เขาเอือมจะแย่ แต่ไม่แสดงออกต่างหาก ส่วนพูดเป็นก็ประเภทพูดในสิ่งที่ควรจะพูด ตรงประเด็น ใช้สติคิดก่อนที่จะพูด สามารถสื่อสารสิ่งที่พูดออกมาได้ชัดเจน แค่นี้คงพอจะเข้าใจกันนะครับ
คราวนี้มาดูกันนะครับว่าเวลาสัมภาษณ์งานเราควรจะพูดจะตอบแบบไหนถึงจะดี
อันนี้พอจะสรุปมาเป็นข้อๆได้ตามนี้นะครับ
- น้ำเสียงง่ายๆ เลยคับก็เอาให้เสียงดังฟังชัด ความดังของเสียงอยู่ในระดับที่ได้ยินชัดว่าอะไร ก็เพียงพอแล้ว (ไม่ต้องไปตะโกนใส่ ให้คนที่สัมภาษณ์เราตกใจล่ะครับ)
- จังหวะในการพูดให้พอดี การพูดช้าอาจเป็นเพราะใช้เวลาในการคิดหาคำตอบ ถ้าเป็นกรณีนี้การเตรียมตัวมาก่อนอย่างดีจะช่วยได้เพราะจะทำให้คุณสามารถตอบได้ทันที ดังนั้น จึงต้องศึกษาคำถามและเตรียมคำตอบไว้ก่อนนะครับ
- คนที่ติดคำแบบ เอ้อ อ้า แบบว่า แล้วก็ เหล่านี้นะครับจะทำให้ผู้ฟังเบื่อรำคาญได้ ใรที่ติดคำพวกนี้ ต้องฝึกและพยายามระวังตัวไม่ให้พูดคำเหล่านี้บ่อยเกินไป
- คำแสลงกับพวกศัพท์วัยรุ่นทั้งหลาย มันจะทำให้เกิดความไม่เข้าใจขึ้นได้ อันนี้ก็ต้องระวัง การใช้คำที่เป็นภาษาเฉพาะรับรู้กันในหมู่วัยเดียวกันก็เอาไว้คุยกับเพื่อนๆ คุณเถอะนะครับ
- อย่าพูดมากหรือน้อยเกินไป เอาแค่ประเด็นที่สำคัญที่คนถามเขาอยากรู้ก็พอครับ อย่าบ้าน้ำลาย หรืออมพะนำจนคนฟังเขาไม่รู้สึกสนใจอยากจะฟัง มันจะดูเป็นคนไม่เอาไหนไร้สาระ หรือไม่ก็อาจถูกมองว่า ถ้ารับเข้ามาทำงานคงจะเสียเวลาในการทำงานไปกับการพูด หรือไม่ก็ไร้มนุษย์สัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานไปซะงั้น
- อย่าโกหกอันนี้สำคัญมาก เพราะอาจทำให้ผู้สัมภาษณ์มองว่า ขนาดตอนสัมภาษณ์ยังไม่ทันได้เข้ามาทำงานยังหลอกกันได้ แล้วจะมีใครไว้วางใจให้เข้ามาทำงาน หรือบางคนโกหกเก่ง จึงอาจจะหลอกได้บ้าง แต่ต้องไม่ลืมว่าผู้สัมภาษณ์มีประสบการณ์มากกว่า โอกาสที่จะหลอกไม่สำเร็จ ถูกจับโกหกได้จึงมีอยู่สูงพอสมควรนะครับ
ข้อควรคำนึงเกี่ยวกับใบสมัคร
- ถ้าคุณได้ใบสมัครมากรอกที่บ้าน อ่านคำแนะนำให้จบก่อนแล้วเขียนร่างลงกระดาษเปล่า ก่อนกรอกอย่างระมัดระวัง ก่อนส่งควรให้คนอื่นตรวจทานอีกครั้ง
- ถ้าหากคุณต้องการกรอกที่สถานประกอบการหรือที่อื่นๆ ให้ศึกษาใบสมัครให้ถี่ถ้วน กรอกจบแล้วพักสักครู่ และตรวจทานอีกครั้งก่อนส่ง
- ถ้าคุณต้องการเพิ่มข้อมูลที่คุณเห็นว่าสำคัญ และไม่มีช่องให้กรอกคุณแนบเอกสารประกอบไปกับใบสมัครได้
- ประวัติย่อหรือใบสมัครต้องมีจดหมายนำเสนอ หากนำส่งทางไปรษณีย์คุณต้องให้ความสำคัญกับจดหมายนำหรือจดหมายสมัครงานเพราะเป็นโอกาศที่จะสร้างความประทับใจให้กับผู้อ่าน
- สาระสำคัญของจดหมายนำคือ อ้างอิงถึงประกาศรับสมัครงาน จุดเด่นของคุณ พูดถึงสถานประกอบการ และชี้ว่าคุณเหมาะสมอย่างไร ทวนว่าคุณแนบอะไรมาบ้าง และขอสัมภาษณ์งาน
- จดหมายนำต้องไม่ทำแบบจดหมายเวียน งานไหนก็ต้องเขียนเพื่องานนั้น
- หาคนตรวจทานเช่นเดียวกับประวัติย่อ
- ลงทุนด้วยการให้เวลาและพิถีพิถันกับจดหมายสมัครงาน ผลตอบแทนจะออกมาเป็นการให้สัมภาษณ์งาน
- จดหมายสมัครงานหรือจดหมายนำต้องลงลายมือชื่อผู้เขียนทุกครั้ง
นิดนึงนะครับ
เทคนิคการสมัครงานทางอินเตอร์เน็ต
1. อย่าสมัครบริษัทเดียวกันหลายตำแหน่ง เพราะคนพิจารณาใบสมัครส่วนมากจะเป็นคนเดียวกัน และเขาไม่ได้มองว่าคุณน่าจะได้รับพิจารณาเรียกสมัภาษณ์เพราะคุณไม่เลือกงาน แต่เขาจะมองว่าคุณไม่มีจุดยืนในการเลือกงาน ถึงแม้คุณจะมีคุณสมบัติที่ดีแต่เขาก็จะมองข้ามคุณไป
2. สมัครงานบริษัทอะไร ตำแหน่งอะไรให้จดบันทึกไว้ เวลาบริษัทเรียกตัวสัมภาษณ์จะได้รู้และไม่สับสนครับ
3. เลือกสมัครหลายๆบริฐัท เพราะในดลกของ Internet การแข่งขันจะมีสูงมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าสมัครบริษัทที่ดังๆ จะมีการแข่งขันเพิ่มขึ้นหลายเท่า
4. สมัครเฉพาะบริษัทที่อยากจะทำ เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว คุณเองนั่นแหละครับที่จะเสียเวลาสมัคร และยังเสียเวลาปฏิเสธการไปให้สัมภาษณ์เมื่อถูกเรียกตัวอีกด้วย (ทำไปทำไมจริงมั๊ย)
การเขียนใบสมัครงาน
- ก็คือข้อมูลเกี่ยวกับคุณเอง ซึ่งส่วนมากก็จะประกอบไปด้วย
- สถานศึกษา
- วุฒิการศึกษาที่ได้ตามลำดับ
- ความรู้ความสามารถพิเศษ
- สำเนาเอกสารต่างๆ คือ
- สำเนาทะเบียนบ้าน
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
- สำเนาวุฒิการศึกษา(ถ้าเป็นไปได้ควรนำต้นฉบับมาด้วย)
- หนังสือรับรองในกรณีมีประสบการณ์
- สำเนาหนังสืออื่นๆ ที่คุณจะใช้อ้างอิงและเป็นประโยชน์ในการสมัครงาน
- รูปถ่ายหน้าตรงไม่สวมแว่น ไม่สวมหมวก
2. การไปสมัครงาน
2.1. การแต่งกายนี้นะครับ คุณควรแต่งกายให้เรียบร้อย แล้วก็ต้องขอร้องเลยนะครับ อย่างใส่กางเก่งยีนส์ เสื้อยืด รองเท้าแตะ เด็ดขาด ขอเป็นแบบชายเสื้อสอดไว้ในกางเกง ทรงผมก็หวีให้เรียบร้อยให้ดูสะอาด สะอ้าน แล้วก็มาดมั่นนะครับ
2.2. สิ่งของเครื่องใช้ อย่าลืมนำเอกสารที่คุณได้เตรียมไว้ไปด้วย (ก็เอกสารตามข้อที่ 1 นั่นแหละครับ) และที่สำคัญปากกาอย่าลืมนะครับ เพราะคุณจะต้องมีปากกาของตัวคุณเอง จะเป็นราคาด้ามละกี่บาทก็ได้ (ขออย่างเดียวให้มันเขียนออกก็แล้วกันครับ) เพราะถเขอยือปากกาจากผู้สมัครงาน แน่นอนคุณจะถูกมองว่าไม่มีความพร้อมที่จะทำงาน ขาดความตั้งใจ และนั่นจะเป็นผลเสียกับคุณมากๆ นอกจากปากกาแล้ว อีกอย่างที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ กาว ใช้แล้วครับกาว ทำไมต้องเอากาวไปสมัครงานด้วยนะหรอครับ ก็เอาไว้ติดรูปไงครับ บางบริษัท ไม่มีกาวไว้ให้นะครับ เพราะฉนั้นเอาติดตัวไปด้วย มันไม่หนักเกินกว่าที่คุณจะเอาไปด้วยหรอกครับ...
3. ขั้นตอนการเขียนใบสมัครงาน
3.1. ก่อนเขียนก็ควรอ่านข้อความในใบสมัครให้เข้าใจเสียก่อนที่จะลงมือเขียนข้อความอะไรลงไป อย่าลือดูข้อกำหนดต่างๆ ในใบสมัครให้เรียนร้อยถ้าไม่เข้าใจให้สอบถามจากเจ้าหน้าที่ที่รับสมัครได้อันนี้ไม่ต้องอายครัย
3.2 ทีนี้ก่อนจะลงมือเขียน ก็คิดให้ดีนะครับว่า จะสมัครงานในตำแหน่งอะไร (อันนี้จริงๆ แล้วคุณต้องมีการเตรียมการ มีการคิดมาล่วงหน้าแล้ว) เลือกหาข้อมูลที่จะแสดงถึงความรู้ ความสามรถของคุณจากข้อมูลที่คุณเตรียมไว้ซึ่งก็เกี่ยวกับตำแหน่งงานที่คุณจะสมัครนั่นแหละ
3.3ปฏิบัติตามข้อกำหนดในการกรอกใบสมัครด้วยความระมัดระวัง นะครับเช่น เขาบอกว่าให้เขียนด้วยลายมือตนเอง ชื่อภาษาอังกฤษ ให้เขียนตัวพิมพ์ใหญ่ หรือบางทีเขาให้เขียนชื่อช่องหนึ่ง นามสกุลอีกช่องหนึ่ง แต่คุณไว้ในช่องเดียวดัน นั่นก็แสดงว่าคุณไม่มีความรอบคอบ (ต้องดูให้ดีๆนะครับ)
3.4 ถ้าใบสมัครมีข้อความให้กรอกมากกว่าที่คุณได้เตรียมมา ก็ให้กรอกเฉพาะเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีต ลำดับช่วงเวลาการศึกษาประสบการณ์ การฝึกอบรมณ์ รายได้ที่เคยได้รับ เป็นต้น (อันนี้อาจช้าหน่อยแต่ชัวร์ดีกว่านะ)
3.5 ลอกข้อความที่เตรียมไว้และเรียบเรียงจนจบ เมื่อคุณแน่ใจว่าไม่มีข้อบกพร่องแล้ว ก็ค่อยๆ เขียนลงไปในใบสมัครให้ครบทุกช่อง ถ้าไม่มีข้อมูลจะกรอกให้ใส่เครื่องหมาย (-) เพื่อให้ผู้สมัครทราบว่าไม่มีข้อมูลกรอก ไม่ใช่เพราะตกหล่นหรือลืมกรอก (รายละเอียดเล็ดๆ น้อยๆ ก็สำคัญครับ)
3.6 ข้อความที่กรอกลงไปในใบสมัคร ควรสั้นพอดีกับช่องว่างที่เขากำหนดให้และได้ใจความสมบูรณ์
3.7 การใช้ตัวอักษรย่อ ก็ควรใช้เฉพาะกรณีที่จำเป็นนะครับ และที่สำคัญต้องเป็นอักษรย่อที่ผู้อื่นอ่านแล้วเข้าใจความหมาย เช่น วุฒิการศึกษา ปวช. ผู้อ่านจะทราบว่าคือ คำย่อของประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นต้นอะไรแบบนี้
3.8 บางบริษัทอาจจะให้คุณระบุชื่อบุคคลที่คุณจะอ้างอิงได้เพื่อประโยชน์ของบริษัทในการตรวจสอบอะไรบางอย่าง บุคคลที่คุณอ้างอิงนี้จะมีผลต่อการสมัครงานของคุณมากทีเดียวนะครับ ดังนั้น การที่คุณจะอ้างอิงถึงใคร คุณควรคำนึงถึงเรื่องต่อไปนี้ด้วยนะครับ
- ควรเป็นบุคคลที่มีตำแหน่งหน้าที่น่าเชื่อถือ ควรเป็นญาติห่างๆ กัน หรือเป็นอดีตผู้บังคับบัญชาหรืออาจารย์เก่าของคุณก็ได้ แต่ถ้าเป็นผม ผมจะไม่เลือกเพื่อนหรอกครับ
- คุณควรมีความสนิทสนมกับบุคคลที่อ้างอิงอยู่พอสมควรและคนที่คุณใช้เป็นบุคคลอ้างอิงนี้ ต้องรู้ถึงความรู้ ความสามารถของคุณดี ข้อสำคัญก็คือ เมื่อคุณอ้างอิงถึงใครก็ตามคุณควรจะแจ้งให้เขาทราบไว้ด้วย เพื่อป้องกันการเข้าใจผิดหรือไม่รู้กันในภายหลังครับ
3.9 สุดท้าย ใบบสมัครของบริษัทจะถามว่าต้องการเงินเดือนเท่าไรอันนี้ละเร้าใจสุดแล้วครับ ถ้าคุณยังไม่แน่ใจว่าคุณจะเรียกเงินเดือนเท่าไหร่ถึงจะเหมาะสม ผมขอแนะนำว่าให้ละไว้โดยการขีด เพราะการระบุเงินเดือนที่คุณต้องการไว้สูงหรือต่ำไป จะไม่เป็นผลดีสำหรับคุณนัก ให้ละเอาไว้แจ้งตอนที่แน่ใจว่าเขาสนใจจะรับคุณเข้าทำงานจะดีกว่า
3.10 ตรวจทานข้อมูลที่คุณกรอกอีกครั้งว่าถูกต้องสมบูรณ์แล้วหรือยัง เมื่อเรียบร้อยแล้ว ก็ให้ส่งเอกสารต่างๆที่คุณเตรียมมาพร้อมแนบรูปถ่ายของคุณให้เจ้าหน้ที่ที่รับสมัครไว้
3.11 อย่าลือสอบถามเจ้าหน้าที่ของบริษัทนะครับ ว่าจะให้ทำอะไรต่อไปเพราะบางแห่งอาจนัดให้ไปทดสอบและสัมภาษณ์ในภายหลัง แต่บางแห่งก็อาจให้ทำการทดสอบและสัมภาษณ์เลยทันที ดังนั้น คุณควรสอบถามขั้นตอนจนเป็นที่เข้าใจและแน่ใจว่าไม่หลุดคิวนะครับ
ข้อย้ำอีกนิดนะครับว่า คุณควรกรอกใบสมัครด้วยลายมือที่เป็นตัวบรรจงมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย อย่าให้มีคำผิด อย่าขีดฆ่า อย่าใช้เวลาให้มันมากไป ผมว่า 15-20 นาที รวมกับการจัดเอกสารประกอบให้พร้อมเพื่อแนบไปกับใบสมัครให้ครบถ้วนก็น่าจะพอแล้วนะครับ
ตัวอย่าง Resume ภาษาอังกฤษ
ตัวอย่าง Resume ภาษาไทย
เป้าหมายและความสำคัญในการทำ Resume
ก็เพื่อเป็นสื่อในการนำเสนอคุณสมบัติและความสามารถของเรา อันนี้ต้องสื่อให้ผู้ที่คัดเลือกพิจารณาเบื้องต้นว่ามีคุณสมบัติสมควรได้รับสัมภาษณ์ หรือทดสอบอื่นๆ ต่อไปหรือไม่
ความสำคัญของResume
หลายคนมักมองข้ามความสำคัญของResumeไป ทำให้พลาดโอกาสในการรับเลือกเข้ามาสัมภาษณ์งาน ซึ่งนั่นเองก็อาจจะเป็นด้วยเหตุผลที่คิดว่าตัวเองเก่งและประสบการณ์ที่ดีอยู่แล้ว ที่ไหนๆ ก็ต้องสนใจ แต่ลืมคิดไปรึเปล่าครับวา ผู้สมัครงานน่ะมีหลายคนนะครับ ไม่ใช่มีเราคนเดียว ยิ่งเป็นองค์กรที่มีชื่อเสียงหรือเป็นธุรกิจมั่นคงแล้วนั้น ก็ยิ่งมีผู้สมัครงานที่เป็นคู่แข็งเราเยอะขึ้น ซึ่งเขาเหล่านั้นอาจมาจากหลายสถาบันการศึกษาทั้งในและต่างประเทศ เพราะฉะนั้นใครที่คิดแบบนั้น ผิดครับ.....
กระบวนการการสรรหาหรือคัดเลือกพนักงานแต่ละองค์กรต่างก็ต้องการคัดเลือกให้ได้บุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ และมีประสทธิภาพในการทำงานกันทั้งนั้น และจุดขายของเราที่จะเป็นใบเบิกทางให้ได้รับการสัมภาษณ์ก็คือ "Resume"
เทคนิคการทำ Resume
- ต้องวางรูปแบบที่มีระบบ
- สะกดคำถูกต้อง
- ระบุคุณสมบัติเด่นที่คุณมีชัดเจน
- สามารถเชื่อมโยงคุณสมบัติที่คุณมีและคุณสมบุติที่องค์กรต้องการได้
- ข้อมูลทุกอย่างต้องเป็นความจริง
- ใช้คำที่เป็นทางการสื่อความหมายชัดเจน
- ใช้กระดาษขนาด 80 ปอนด์หรือกระดาษดีๆ สีอ่อนทำให้Resume มีคุณภาพยิ่งขึ้น
- ใน Resume ต้องสะอาด และมีจุดเด่นที่อ่านได้ชัดเจน
- มีรายละเอียดในส่วนที่ส่งเสริมคุณสมบัติเด่น ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
- สามารถทำให้ผู้อ่านมั่นใจในคุณภาพของผู้สมัครงาน
- ตัวหนังสืออ่านง่าย ชัดเจน
เห็นมั้ยครับว่ามันไม่ได่ยุ่งยากอะไรเลย แต่ถ้าคุณยังมองภาพไม่เห็นลองไปดูในหัวข้อตัวอย่าง Resume กันต่อได้เลยครับ
มาทำความรู้จักกับ Resume กันก่อน
Resume ก็คือ.....
ประวัติย่อ หรือที่เรียนกันอีกอย่างว่า CV & Resume บางคนก็อาจจะรู้นะครับว่ามันคืออะไร และมีความหมายว่าอย่างไร แต่สำหรับตนที่ยังไม่รู้ว่าคำทั้ง 2 คำนี้คืออะไร ผมจะบอกให้ก็ได้ครับ
Resume อ่านว่า เร-ซู-เม เป็นภาษาอเมริกันที่มีรากศัพท์มาจากภาษาฝรั่งเศส ดังนั้น ถ้าจะเขียนให้ถูกจริงๆ ต้องเขียนแบบนี้นะครับ Re'sume'
ส่วน CV ย่อมาจากคำว่า Curriculum Vitae อ่านว่า เคอ-ริค-คิว-ลัม วี-เต้ ซึ่งหมายถึง บทสรุปของคำบรรยายาหรือข้อเขียน ซึ่งจะเป็นคำที่คนอังกฤษใช้เรียก Re'sume' หรือบางครั้งก็อาจพบกับคำว่า Biodata ซึ่งมาจากคำเดิมว่า Biographical Data ซึ่งก็คือประวัติย่อเหมือนกัน แต่คำหลังสุด นี่ไม่ค่อยเป็นที่นิยมกันสักเท่าไหร่ครับ
................แต่ทั้งนี้ไม่ว่าเราจะเรียกว่ายังไงก็ตาม ประวัติย่อก็คือ การบรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเรา ในเรื่องการศึกษา ประสบการณ์การทำงานหรือความสำเร็จที่ผ่านมา ตลอดจนความสนใจส่วนตัวของเรา แต่จะไม่ได้บอกว่าเราสนใจสมัครงานในตำแหน่งไหนนะครับ
การเขียน CV & Resume ที่ดีนั้นจะต้องทำให้น่าอ่าน สะดุดตา นำเสนอด้านดีและน่าสนใจของตัวเอง หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เขียน Resume ให้ตรงกับความต้องการของนายจ้างนั่นเองครับ
ก่อนลงมือเขียน Resume
Resume ที่ยอดเยี่ยม และจะทำให้คุณเนื้อหอม ตอนที่บรรดานายจ้างได้อ่านนะครับ จะต้องประกอบด้วยความจริงสองข้อ (ขอเน้นเลยนะครับว่า ต้องเป็นความจริงเท่านั้น) ซึ่งนั่นก็คือ
หนึ่ง รายละเอียดด้านการศึกษา และ
สอง ประสบการณ์การทำงาน
ฟังดูเหมือนง่ายนะครับ แต่....(ยังมีคำว่าแต่ครับ) ซึ่งเหตุผลที่บอกว่ายากคือ การที่จะเขียนให้ความจริงทั้งสองข้อนี้เตะตาสุดๆ เราต้องใช้วิชาประชาสัมพันธ์เข้าช่วย (แบบตบซ้าย ตบขวาให้เข้าที่เข้าทาง)
ข้อแนะนำก็คือ พยายามทุกวิถีทางที่จะเค้น...เค้น และเค้นทุกเรื่องที่สามารถนำมาสนับสนุนตัวคุณให้ลอยสูงโดดเด่นกว่าคู่แข่งหรือ Resume ของคนอื่นๆจนเอื้อมถึงดวงดาวได้ และที่สำคัญกว่านั้นก็คือ Resume คุณจะต้องกระชับ ชัดเจนและได้ใจความครับ
และก่อนที่จะลงมือเขียน ก็ให้ตั้งสติให้มั่น อ่านคุณสมบัติของตำแหน่งที่เขาต้องเสียตังค์เป่าประกาศหาตัวให้ละเอียดซะก่อน แล้วค่อย เค้นออกมาว่า เรามีส่วนไหนที่ตรงกับความต้องการนั้น ไม่ว่าจะเป็น
ทักษะความชำนาญ
ความสามารถพิเศษ
ทักษะด้านคอมพิวเตอร์
มียานพาหนะหรือแม้แต่บุคลิกภาพที่สง่างาน
มนุษยสัมพันธ์ล้ำเลิศ
เมื่อคุณค้นพบแล้วคุณก็พิมพ์ทุกอย่างลงไปอย่างชัดเจน ทีนี้ก็มั่นใจได้เลยว่า "อันนี้แหละคือคนที่เขาเฝ้ารอ" (เอาแบบว่าเข้าข้างตัวเองหน่อย แต่อย่ามากจนเกินไปนะครับ) แต่ที่ห้ามลืมเด็ดขาดเลยก็คือ
ที่อยู่ที่สามารถติดต่อได้สะดวก
เบอร์โทรศัพท์
หรืออีเมล์ครับ
เพราะข้อมูลที่ว่านั้นนะครับ ถ้าไม่เป็นข้อมูลที่ UPDATE หรือใช้ติดต่อคุณได้จริงๆ แล้วล่ะก็ ต่อให้ Resume ของคุณสะดุดตา น่าสนใจแค่ไหน ก็ฝันไปเถอะครับว่าจะได้งานเพราะเขาคงไม่จ้างนักสืบไปค้นหาที่อย฿ของคุณ หรือเบอร์โทรศัพท์เพื่อติดต่อคุณหรอกครับ เพราะฉนั้นจำไว้ว่ามันสำคัญมากๆ
วิธีการใช้ Web Site หางาน
เมื่อกดคำว่าสมัครสมาชิกแล้วคุณก็จะพบกับหน้าต่างนี้ครับ จะมี 2 ฝั่งให่เลือก ให่คุณกดคำว่า "สมัคร" ในฝั่งของ "สมาชิกทั่วไป" ครับ
พอกด ตกลง เสร็จ ก็จะมาถึงหน้าที่ให้คุณกรอก User Name และ Password เมื่อกรอกเสร็จแล้วให้คุณกดบันทึก เพียงเท่านี้เราก็เป็นสมาชิกของเว็บแล้วครับ
ให้เรากลับไปหน้าแรกของเว็บ jobbkk อีกครั้ง แล้วทำการ ใส่ User Name และ Password เพื่อทำการ login เข้าสู้ระบบ
เมื่อกดที่คำว่าเข้าสู่ระบบ แล้วก็จะพบกับ หน้านี้เลยครับ หน้าที่ให้เรากรอกประวัติส่วนตัวครับ ก็ให้คุณทำการกรอกประวัติส่วนตัวของคุณลงไปได้เลยครับ เสร็จแล้วก็กด"บันทึก" เท่านี้ก็เสร็จเรียบร้อยแล้วครับ
ประวัติส่วนตัวของท่านก็จะถูกเก็บอยู่ในฐานข้อมูลของเว็บไซต์ jobbkk เรียบร้อยครับ
Web Site หางานที่น่าสนใจ
- มาดูเว็บไซต์แรกกันก่อนเลยครับ http://www.appjob.com/
Web Site นี้คนเข้าไม่ใช้น้อยครับ ทั้งผู้สมัครหางานเองแล้วยังมีบริษัทต่างๆมากมายที่แวะเวียนเข้ามาชมครับ และหากคุณต้องการค้นหาตำแหน่งงานในWeb Site นี้ก็สามารถค้นหาได้จากส่วนนี้นะครับ โดยการคลิกที่ช่องต่างๆในส่วนของ "หางานฝากประวัติ" เพื่อกำหนดเงื่อนไขการค้นหา หรือจะใช้การพิมพ์คำที่ต้องการค้นหาลงไปที่ช่องคำที่เกี่ยวข้อง- ด้านหางานฝากประวัติ
1. ทำการเลือกประเภทงาน
2. เลือกจังหวัดที่ต้องการ
3. กำหนดเขต
4. เสร็จแล้ว ก็กดที่ปุ่ม search ได้เลยครับ
จะได้ผลลัพธ์ดังรูปครับ
- www.jobpub.com
สำหรับ jobpub.com นี้นะครับหน้าตาของ homepage จะแบ่งหมวดหมู่ของแต่ละส่วนอย่างเป็นระเบียบและชัดเจน ส่วนเรื่องผู้ที่เข้าชมและใช้บริการนั้นไม่ต้องห่วงครับ ไม่น้อยหน้าใครแน่นอน
1. คุณสามารำถเลือกคลิกหมวดงานที่ต้องการได้เลย
2. หรือคุณจะพิมพ์คำที่ต้องการค้นหาแล้วเลือกจังหวัดที่ส่วนนี้ก็ได้ครับ
3. เสร็จแล้วก็คลิกปุ่มค้นหา
และหน้าต่างแสดงผลการค้นหาของ jobpub ก็จะมีหน้าตาอย่างนี้ครับ
- http://www.easythaijob.com/
นอกจากจะมีประกาศหางานให้คนว่างงานทั้งหลายได้เข้าไปหากันแล้ว ยังเป็นตัวแทนที่จะหางานให้กับหน่วยงานหรือบริษัทต่างๆ ด้วย วึ่งดูจะเป็นจุดเด่นของ Web Site นี้เลยที่เดียวครับ
การหางานใน Web easythaijob ไม่ยุ่งยากครับ แค่คุณกำหนดเงื่อนไขที่ต้องการ Find Jobs ได้เลยนะครับ
นี้คือหน้าตาหลังจากการค้นหาครับ
และนี่ก็เป็นเพียงตัวอย่างคร่าวๆนะครับ หวังว่าคงจะมีแนวทางที่จะหางานทางอินเตอร์เน็ตกับบางแล้วนะครับ และผมก็ยังมีเว็บไซต์หางานแนะนำอีก 2-3 เว็บไซต์ว่างๆลองเข้าไปดูกันนะครับ
หางานบนโลกออนไลน์
- นี้เลยครับ http://www.google.co.th/
คุณสามารถหาทุกอย่างได้จากเว็บนี้เลยครับ รวมถึงเว็บไซต์ หางาน สมัครงานทั้งหลายแหล่นั่นด้วยครับ
แล้วงานอยูที่ไหนล่ะ
ไม่ต้องกังวลไปครับงานน่ะมีเยอะแยะและหาได้ง่ายๆ ส่วนเรื่องที่จะได้งานรึเปล่านั้น เอาไว้คุยกันทีหลัง ตอนนี้มาดูกันก่อนว่าแหล่งงานมีอยู่ตรงส่วนไหนและจะหาได้ยังไง
อย่างที่บอกไปนั่นแหละครับ ตำแหน่งว่างน่ะมันมีอยู่เป็นกุรุสมากมายก่ายกองที่รอเราอยู่ ไปกันครับ ไปค้นหางานจากที่ต่างๆกันครับ.......GO
- บุคคลที่รู้จักหรือคุ้นเคย
นี่แหละครับ เป็นวิธีที่ใกล้ตัวแล้วก็ง่ายดายที่สุด ก็สอบถามจากเพื่อนฝูง ครูอาจารย์หรือรุ่นพี่ที่ทำงานอยู่ตาบบริษัทต่างๆ ซึ่งบุคคลเหล่านี้อาจจะมีส่วนคำคัญในการช่วยเหลือติดต่อ หรือให้คำแนะนำเป็นอย่างดีเลยเชียวแหละ
- Classified ของหนังสือพิมพ์
Classified ก็คือ หน้าหางานที่มีการจัดแบ่งไว้เป็นหมวดหมู่ ส่วนใหญ่จะอยู่ตามหน้าหนังสือพิมพ์ครับ ซึ่งมีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกษให้เลือกสมัคร แต่วิธนี้ต้องคำนึงถึงความน่าเชื่อถือของบริษัทที่จะเลือกสมัคร และควรหลีกเลี่ยงการขอสัมภาษฌ์ทางโทรศัพท์นะครับ คุณควรใช้ดุลพินิจในการคัดเลือกบริษัทที่จะสมัครอย่าได้ส่งใบสมัครไป เพียงแค่ขอให้ได้สมัครงานเอาไว้ก่อน เพราะอยากมีผลร้ายที่เราไม่คาดคิดตามมาก็ได้ และไอ้ผลร้ายที่ว่านั้นก็อาจเป็นไปได้ว่าข้อมูลในใบสมัครของคุณจะถูกนำไปใช้ทำประโยชน์ให้พวกมิจฉาชีพได้ครับ
- ป้ายโฆษณา
อันนี้มีให้เห็นเกลื่อน เต็มไปหมดครับ บางทีก็ตามทางเข้าห้างสรรพสินค้าบ้าง ป้ายรถเมล์บ้าง หรือสถานประกอบการต่างๆ แต่วิธีนี้ต้องใช้ควาวมระมัดระวังอย่างสูงสุดเพราะอาจจะถูกหลอก แบบว่าหลอกให้เสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่างๆ นานา ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าคุณจะได้งานนั้นหรือเปล่า อันนี้ต้องคิดให้ดีครับ
- สถาบันการศึกษาหรือมหาวิทยาลัย
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วนะครับ ว่าสถาบันการศึกษาหรือมหาวิทยาลัยต่างๆทั้งภาครัฐและเอกชนจะมีบริการจัดหางานซึ่งบริษัทต่างๆ มักนำใบสมัครมาฝากไว้ วิธีนี้มีความเสี่ยงน้อยมากต่อความน่าเชื่อของบริษัท เพาะทางมหาวิทยาลัยมักจะตรวจสอบหรือคัดเลือกบริษัทที่จะเข้ามารับสมัครไว้ก่อนแล้ว สำหรับน้องๆที่พึ่งจบก็อย่าลืมไปดูแหล่งงานใกล้ตัวกันก่อนนะครับ
- บริษัทจัดหางานของเอกขน
เป็นธุรกิจประเภทหนึ่งที่คล้ายกับนายหน้า (จริงๆมันก็คือๆกันนั้นแหละครับ) คือจะดำเนินการจัดหาคนงานให้กับบริษัทต่างๆ หากสนใจก็ควรตรวจสอบรายละเอียดประวัติความน่าเชื่อถือของบริศัทนั้นๆ ก่อนนะครับ เพราะบริษัทบางแห่งจะเรียกเก็บเงินจากผู้สมัคร โดยอ้างว่าเป็นค่าธรรมเนียมต่างๆ โดยไม่สามารถให้คำตอบได้ว่าคุณจะได้งานหรือไม่
- กองจัดหางานกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน
นี่ก็เป็นแหล่งข้อมูลที่จะมีงานทั้งภาครัฐและเอกชนให้เลือกสมัครได้ โดยสามารำถสมัครได้ที่สำนักจัดหางานเขตต่างๆใกล้บ้านของคุณ และถ้าต้องการรับราชการ สำนักงานข้าราชการและพลเรือน (ก.พ.) จะเป็นแหล่งข้อมูลที่ดีทั้งยังมีบริการแนะแนวการศึกษาต่อต่างประเทศและทุนการศึกษาต่อต่างประเทศอีกด้วยนะครับ ซึ่งข้อมูลเพิ่มเติมคุณก็สามารถเข้าไปดูกันได้ที่ www.mol.go.th ซึ่งเป็น Web Site ของกระทรวงแรงงานครับ หรือจะติดต่อโดยตรงที่
กระทรวงแรงงาน ถนนมิตรไมตรี เขตดินแดง แขวงดินแดง กทม. 10400 โทรศพท์ 0-2245-4310-4 ก็ได้นะครับ
- ติดต่อสมัครโดยตรง
การไปสมัครด้วยตัวเองกับบริษัท หรือส่งจดหมายไปสมัครงานนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงที่ยังไม่มีประกาศรับสมัครงานในช่วงนั้น วิธีนี้คล้ายกับการประชาสัมพันธ์ตัวเองครับคือ หากใบสมัครของคุณเข้าตาผู้รับสมัครเข้าแล้วละก็ เมื่อบริฐัทนั้นๆมีตำแหน่งงานว่างก็อาจจะได้รับการเรียกตัวไปสัมภาษณ์แต่ถ้าหากคุณต้องการงานอย่างแรงคือ ต้องได้งานภายในระยะเวลาที่กำหนด วิธีนี้อาจจะไม่ค่อยเหมาะนะครับ
สิ่งที่ต้องเตรียมก่อนจะสมัครงาน
1. ประวัติส่วนตัว (Resume)
2. รูปถ่าย ควรเป็นรูปถ่ายหน้าตรงขนาด 1 หรือ 2นิ้ว (เป็นรูปสีจะดีกว่าครับ) และจะต้องเป็นรูปที่แต่งกายเรียบร้อยด้วยนะครับ
3. สำเนาใบรับรองการศึกษา ได้แก่ Transcript และสำเนาใบปริญญาบัตร
4. สำเนาบัตรประชาชน
5. สำเนาทะเบียนบ้าน
6. สำเนาหลักฐานการพ้นภาระทางการทหาร (สำหรับผู้ชาย)
7. สำเนาหนังสือรับรองการผ่านงานหรือการฝึกงาน(ถ้ามีจะดีมาก)
*เอกสารเหล่านี้ควรถ่ายสำเนาไว้หลายๆชุด และที่สำสคัญอย่าลืมเซ็นรับรองสำเนาถูกต้องด้วย
คุณสมบัติของเราเหมาะกับงานลักษณะไหน
1. คุณวุฒิการศึกษา
ให้พิจารณาดูว่าวุฒิการศึกษาที่จบมาจะสมัครงานตำแหน่งไหนได้บ้างแต่ถ้าเขาไม่ได้กำหนดคุณวุฒิหรือสาขาวิชา ก็หมายความว่าเป็นตำแหน่งที่เป็นผู้ปฏิบัติงาน บริษัทต่างๆ ก็มักจะถือเกณฑ์การคัดเลือกบุคคลที่มีคุณวุฒิตรงตามที่เขากำหนดก่อนครับ
2. ลักษณะงาน
งานที่คุณสนใจไม่ว่าจะป็นตำแหน่งอะไรก็ตาม ถ้าคุณยังไม่ทราบลักษณะงาน ก็น่าจะโทรศัพท์ไปสอบถามให้แน่ชัดก่อนนะครับ ว่าตรงตามความถนัดและความต้องการของคุณรึเปล่า ที่สำคัญก็คือ คุณควรจะสมัครงานในตำแหน่งที่มีความรู้ความสามารถ มีความถนัดและชอบลักษณะงานนั้น จึงจะทำให้ประสบความสำเร็จนะครับ
3. ข้อมูลบริษัทที่จะสมัครงาน
มองข้ามไม่ได้เด็ดขาด บริษัทที่คุณเลือกถ้ามีข้อมูลเกี่ยวกับวัฒนธรรมองค์กร และความเป็นมาของเขา ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยคุณได้มาก หรืออย่างน้อยคุณก็ควรเลือกบริษัทที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากที่พักอาศัยประจำมากนัก ไม่ก็เป็นบริษัทที่สะดวกในเรื่องบ้านหรือห้องเช่าตลอดจนการคมนาคมขนส่งและอาหารการกิน
คุณรู้จักตัวเองหรือยัง???...
แล้วคุณรู้หรือเปล่าว่าใบสมัครงานที่คุณส่งไปตามหน่วยงานหรือบริษัทต่างๆ นั้นไม่ได้ต่างอะไรกับการโฆษณาขายสินค้า ซึ่งสินค้าที่ว่าก็คือ ตัวคุณเองนั้นแหละครับ เพราะฉะนัน้แล้วอะไรที่เป็นจุดขาย หรือเป็นข้อดีในตัวคุณเองนั่นแหละเพราะถ้าคนเราจะตัดสินใจซื้อสินค้าอะไรสักอย่าง ก็ต้องคำนึงถึงคุณสมบัติและความคุ้มราคาจริงมั๊ยครับ
อย่าเพิ่งท้อสิครับ ถ้าคุณยังไม่เคยค้นหาตัวเองมาก่อน ก็เริ่มซะ เอามันตอนนี้เลย จะได้รู้ซะทีว่าวิธีไหนที่จะช่วยให้คุณรู้จักตัวเอง.....
10 วิธีค้นพบตัวเอง
1. ความสนใจ
2. ความสามารถ
3. บุคลิกส่วนตัว
4. ผลการศึกษา
5. การฝึกงานระหว่างเรียน
6. ทักษะในการสื่อความหมาย
7. ความรู้ด้านคอมพิวเตอร์
8. วิชาเอกที่เรียน
9. กิจกรรมนอกหลักสูตร
10. ประสบการณ์ในการทำงานนอกเวลา
มาดูที่ความสนใจกันก่อนเลยดีกว่าครับ คุณต้องรู้นะครับว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบงานแบบไหน เช่น ถ้าคุณชอบการพบปะพูดคุยกับผู้คนที่มีทักษธในการพูดโน้มน้าวใจคนได้ดี ผมว่าผมว่างานขายหรืองานประชาสัมพันธ์น่าจะเหมาะกับคุณมากกว่างานด้านบัญชี และถ้าคุณชอบทำงานเอกสารมากกว่าที่จะต้องเจอคนมากๆให้ปวดหัว งานออฟฟิต หรือพวก Admin ก็น่าจะเหมาะกับคุณมากกว่า
ส่วนความสามารถก็ให้ประเมิณจากประสบการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมาคือ ถ้าคุณมีความสามารถด้านการใช้งานด้านคอมพิวเตอร์กราฟิก ก็น่าจะสมัครงานด้านการออกแบบ หรืองานด้านกราฟิกดีไซน์มากกว่าที่จะสมัครไปเป็นเจ้าหน้าที่ลูกค้าสัมพันธ์
จากนั้นก็ดูว่า บุคลิกส่วนตัวของคุณเหมาะกับงานอาชีพใดบ้าง คุณชอบอยู่คนเดียวเหมือนพวกศิลปินสติแตก หรือว่าชอบเสนอหน้ากับหุ่นดีๆ ของคุณให้คนอื่นได้เห็นชอบนั่งอยู่กับที่หรือชอบตะลอน ตะลอนออกไปข้างนอก พอมองเห็นตัวเอง คุณก็มาดูว่างานไหนที่เหมาะกับบุคลิกของคุณ แค่นี้เองครับไม่เห็นจะยาก
ทีนี้ลองมาดู ผลการศึกษาของคุณว่าอยู่ในระดับดี ปานกลาง หรือพอใช้ อันนี้ก็หมายถึง GPA หรือเกรดเฉลี่ยสะสมของคุณนั่นแหละครับ คงพอจะประเมินกันได้ แต่อย่าเพิ่งวิตกไป ถ้าผลการเรียนของคุณไม่สูงเท่าที่ควร เพราะยังมีเรื่องของการฝึกงานระหว่างเรียน เอาเป็นว่าสมัยเรียนคุณเคยทำกิจกรรม หรืองานอะไรมาบ้างแล้วประเมินดูว่ากิจกรรมไหนที่คุณสนใจและถนัดมากที่สุด นี่ก็คงพอจะเป็นเครดิตให้คุณได้นะครับ
ต่อมาก็คือ ทักษะในการสื่อสาร (Communication skill) อันนี้สำคัญนะครับในการทำงานร่วมกับคนหมู่มาก ถ้าจะให้เข้าใจง่ายๆ มันก็คือ ความมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีนั่นแหละครับ แต่มนุษยสัมพันธ์ดีอย่างเดียวไม่พอนะครับ การใช้ภาษาพูดหรือเขียนในการสื่อสารกับคนรอบข้างนั้น ก็ต้องสื่อออกไปให้คนอื่นเขาเข้าใจด้วยไม่ใช่สักแต่ว่าพูด พูด พูด แล้วก็พูด คิดว่าเราพูดเก่ง ก็พูดมันไปเรื่อย ต้องมองดูด้วยครับ ว่าไอ้ที่พูดออกไปนั่นนะ คนอื่นเขาอยากจะฟัง อยากจะ รู้เรื่องด้วยหรือเปล่าอันนี้ฝึกกันได้ครับไม่ต้องคิดมาก
ความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะ PC Computer และ Software พื้นฐานต่างๆ เช่น Microsoft Wosd, Excel, PowerPoint ไอ้พวกนี้แหละครับ สุดยอดโปรแกรมแล้ว มีความรู้ติดตัวไว้ไม่เสียหาย เพราะในชีวิตการทำงานรับรองได้ ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าคุณต้องได้ใช้อย่างแน่นอน
เมื่อสำรวจตัวเองในเบื้องต้นแล้ว ทีนี้คุณก็ต้องดูว่า วิชาเอกที่เรียนนั้น คุณมีเป้าหมายในการทำงานที่ตรงตามสาขาวิชาที่เรียนมาหรือไม่ อย่างไร จุดนี้จะทำให้มองเห็นความสำเร็จในการหางานทำได้เป็นอย่างดีครับ
กิจกรรมนอกหลักสูตร เป็นต้นว่าการเข้าค่าย ออกแคมป์ หรืออะไรจำพวกนี้ ซึ่งจะแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์และความสามารถในการเผชิญหน้ากับผู้ที่เราทำงานร่วมด้วย นอกจากนั้นประสบการณ์ในการทำงานนนอกเวลา ก็ยังจะแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะรับผิดชอบในสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในระหว่างที่ทำงานด้วยนะครับ
ลองดูครับ ลองนั่งเขียนคำถามเหล่านี้แล้วหาคำตอบให้กับตัวเองให้ได้ เมื่อได้คำตอบแล้ว คุณเองคงพอที่จะเข้าใจและรู้จักตัวเองมากขึ้น.......